วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

ขลุ่ย


              
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content

   ขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีโบราณของไทยชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดขึ้นก่อนหรือในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ร่วมสมัยกับเครื่องดนตรีประเภท กลอง ฆ้อง กรับ พิณเพียะ แคน ขลุ่ย ปี่ ซอ และกระจับปี่ แต่มีหลักฐานชัดเจนปรากฏ ในกฎมนเฑียรบาลสมัยพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) แห่งกรุงศรีอยุธยาว่าห้ามร้องเพลงหรือเป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีตะโพนในเขตพระราชฐานก่อนที่จะมาเป็นขลุ่ยอย่างที่ปรากฏรูปร่างในปัจจุบัน ขลุ่ยได้ผ่านการวิวัฒนาการมาเป็นระยะเวลายาวนาน มาจากปี่อ้อซึ่งตัวปี่หรือเลาทำจากไม้รวกท่อนเดียวไม่มีข้อ และมีลิ้นซึ่งทำด้วยไม้อ้อลำเล็กสำหรับเป่าให้เกิดเสียง หลังจากนั้นจึงปรับเปลี่ยนรูปร่าง และวิธีเป่าจนกลายมาเป็นขลุ่ยอย่างที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่าเป็นขลุ่ยเพียงออ


ประเภทของขลุ่ย
                คนไทยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ จะเห็นได้ว่างานหัตถกรรมของไทยงดงามไม่แพ้ของชนชาติใดในโลก ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมจึงทำให้เรามีมรดกทางด้านศิลปวัฒนธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก ขลุ่ยก็เช่นเดียวกัน นอกจากขลุ่ยเพียงออ ซึ่งสืบทอดคุณลักษณะและรูปร่างมาแต่โบราณแล้ว ต่อมาบรรพบุรุษของเรายังได้คิดค้น "ขลุ่ยหลีบ" ไว้สำหรับเล่นคู่กับขลุ่ยเพียงออ "ขลุ่ยอู้" ซึ่งคิดค้นขึ้นในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้ประกอบการละเล่นละครดึกดำบรรพ์ นอกจากนั้น ก็ยังมีขลุ่ยที่เรียกชื่ออย่างอื่นอีก เช่น ขลุ่ยกรวด ขลุ่ยเคียงออ ขลุ่ยรองออ ขลุ่ยออร์แกน เพื่อให้เหมาะกับการที่จะไปเล่นผสมกับวงดนตรีประเภทต่างๆ

ปัจจุบันขลุ่ยที่ยังมีผู้นิยมเล่นมากที่สุด มี 3 ประเภท คือ
                ขลุ่ยเพียงออ
                ขลุ่ยหลีบ
                ขลุ่ยอู้

ขลุ่ยเพียงออ
               
                                                 ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
       เป็นเครื่องดนตรีไทย ประเภทเครื่องเป่าชนิดไม่มีลิ้น ทำจากไม้รวกปล้องยาวๆ ด้านหน้าเจาะรูเรียงกัน สำหรับปิดเปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง ตรงที่เป่าไม่มีลิ้นแต่มีดาก ซึ่งทำด้วยไม้อุดเหลาเป็นท่อนกลมๆยาวประมาณ 2 นิ้ว สอดลงไปอุดที่ปากของขลุ่ย แล้วบากด้านหนึ่งของดากเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เราเรียกว่า ปากนกแก้ว เพื่อให้ลมส่วนหนึ่งผ่านเข้าออกทำให้เกิดเสียงขลุ่ยลมอีกส่วนจะวิ่งเข้าไปปลายขลุ่ยประกอบกับนิ้วที่ปิดเปิดบังคับเสียงเกิดเป็นเสียงสูงต่ำตามต้องการใตปากนกแก้วลงมาเจาะ 1 รู เรียกว่า รูนิ้วค้ำ เวลาเป่าต้องใช้หัวแม่มือค้ำปิดเปิดที่รูนี้ บางเลาด้านขวาเจาะเป็นรูเยื่อ ปลายเลาขลุ่ยมีรู 4 รู เจาะตรงกันข้ามแต่เหลื่อมกันเล็กน้อย ใช้สำหรับร้อยเชือกแขวนเก็บหรือคล้องมือจึงเรียกว่า รูร้อยเชือก รวมขลุ่ยเลาหนึ่งมี 14 รูด้วยกัน รูปร่างของขลุ่ยเมือพิจารณาแล้วจะเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่ง จากหลักฐานที่พบขลุ่ยในหีบศพภรรยาเจ้าเมืองไทยที่ริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหซึ่งมีหลักฐานจารึกศักราชไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันขลุ่ยมีราคาสูง เนื่องจากไม้รวกชนิดที่ทำขลุ่ยมีน้อยลงและใช้เวลาทำมากจึงใช้วัตถุอื่นมาเจาะรูซึ่งรวดเร็วกว่า เช่น ไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่ ไม้ชิงชัน ไม้พยุง บางครั้งอาจทำจากท่อพลาสติกแต่คุณภาพเสียงไม่ดีเท่าขลุ่ยไม้ ขลุ่ยที่มีเสียงไพเราะมากส่วนใหญ่จะเป็นขลุ่ยผิวไม้แห้งสนิทขลุ่ยใช้เป่าในวงเครื่องสายไทย วงมโหรี และในวงปี่พาทย์ไม้นวม วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ การเทียบเสียงขลุ่ยเพียงออกับระดับเสียงดนตรีสากล เสียงโดของขลุ่ยเพียงออ เทียบได้เท่ากับ เสียง ทีแฟล็ต ในระดับเสียงทางสากล ปัจจุบันได้มีการทำขลุ่ยเพียงออที่มีระดับเสียงเท่ากับระดับเสียงสากล เรียกว่าขลุ่ยเพียงออ ออร์แกนบ้าง หรือขลุ่ยกรวดบ้าง แต่ในทางดนตรีสากลจะเรียกเป็นขลุ่ยไทยหมด จะเอาระดับเสียงมาเป็นตัวแยกขนาดเช่น ขลุ่ยคีย์ C, ขลุ่ยคีย์ D, ขลุ่ยคีย์Bb, ขลุ่ยคีย์ G เป็นต้น เป็นขลุ่ยที่มีขนาดปานกลาง ความยาวประมาณ 16 นิ้วระดับเสียงกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป เป็นขลุ่ยที่มีผู้นิยมเล่นมากที่สุด นอกจากจะเป่าเพื่อความบันเทิงและความรื่นรมย์เฉพาะตัวแล้ว ขลุ่ยเพียงออยังเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตาม (เช่นเดียวกับระนาดทุ้ม และ ซออู้) ตามประเพณีนิยมในวงเครื่องสาย และ วงมโหรี

ขลุ่ยหลีบ
 

ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
               
               จัดเป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาขลุ่ยไทยทั้งหมด มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร มีเสียงสูง ใช้ในการบรรเลงในวงมโหรีเครื่องคู่ เครื่องใหญ่ และวงเครื่องสายเครื่องคู่ โดยเป็นเครื่องนำในวงเช่นเดียวกับระนาด หรือซอด้วง นอกจากนี้ยังใช้บรรเลงในวงเครื่องสายปี่ชวา โดยบรรเลงเป็นพวกหลังเช่นเดียวกับซออู้ เป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กที่สุด ความยาวประมาณ 12 นิ้ว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องนำ (เช่นเดียวกับระนาดเอก และ ซอด้วง) ในวงมโหรีและวงเครื่องสายเครื่องคู่ และใช้เป็นเครื่อง ตามในวงเครื่องสายปี่ชวาเมื่อปิดนิ้วหมดทุกนิ้ว เป่าแล้วจะได้เสียง "ฟา" สูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 4 เสียง

ขลุ่ยอู้


ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content

                เป็นขลุ่ยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ความยาวประมาณ 23 นิ้ว มีระดับเสียงต่ำสุดและเป็นขลุ่ยที่มีเสียงต่ำที่สุดคือต่ำกว่าเสียงโดต่ำของขลุ่ยเพียงออ 2-3 เสียง และมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากขลุ่ยเพียงออ และขลุ่ยหลีบ คือมีรูที่ทำให้เกิดเสียง 6 รู เมื่อปิดนิ้วทุกนิ้ว เป่าแล้วจะได้เสียง "ซอล" ต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ 3 เสียงนิยมใช้ในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์


ขลุ่ยคีย์ต่างๆ       
                                ขลุ่ยไทยโดยทั่วไปจะมีระดับเสียงของดนตรีไทย แบ่งเป็น 2 ระดับเสียง ได้แก่เสียงกรมศิลปากร และ เสียงกรมประชาสัมพันธ์ มีรายละเอียดดังนี้
                1.) เสียงกรมศิลปากร เสียงโดของไทย จะต่ำกว่าเสียง Bb ของเสียงสากล
2.) เสียงกรมประชาสัมพันธ์ เสียงโดของไทยจะตรงกับเสียง Bb ของเสียงสากล
                ขลุ่ยไทยเทียบเสียงสากล เป็นขลุ่ยที่ใช้โครงสร้างของขลุ่ยไทยทั้งหมดแต่ปรับระบบเสียงให้เท่ากับระบบเสียงของดนตรีสากล  ซึ่งยังคงใช้เทคนิคในการเป่าขลุ่ยไทยแบบต่าง ๆ ได้ครบ และทำให้ยังคงคุณสมบัติของขลุ่ยไทยไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถนำไปเล่นกับเครื่องดนตรีสากลได้อย่างกลมกลืน


ขลุ่ยชนิดต่าง ๆให้ เสียง ดังนี้

 1. ขลุ่ยลิบ ให้เสียงแหลมใสมีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาฯ / Eb และ D
 2. ขลุ่ยกรวด ให้เสียงสูงกว่าเพียงออ 1 เสียง มีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาฯ และ C
 3. ขลุ่ยเพียงออ ให้เสียงกลาง ๆ มีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาฯ และ Bb
 4. ขลุ่ยซุปเปอร์เพียงออ หรือ เพียงออทุ้มให้เสียงดังกังวานและทุ้มเป็นพิเศษกว่าขลุ่ยเพียงออปกติสองเท่า แต่ใช้ลมในการเป่ามากขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย จึงสามารถเล่นในวงมโหรีเครื่องใหญ่ที่มีเสียงดังมากได้เป็นอย่างดี มีระดับเสียงกรมศิลป์ และกรมประชาสัมพันธ์ โดยใช้แนวเสียงดนตรีของพระยาเสนาะดุริยางค์(แช่ม สุนทรวาทิน)
ที่มีลักษณะเด่น ดังนี้ คือ
1) คู่เสียงสนิทตรงกันทุกคู่เสียงเริ่มตั้งแต่คู่สอง เป็นต้นไป
2) เสียงของเครื่องดนตรี จะดังกังวานสดใสได้ยินเสมอกันทุกระยะไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล

5. ขลุ่ยอู้ ให้เสียงทุ้มต่ำมีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาสัมพันธ์ / E b / F และ G

               การสั่งทำขลุ่ยสามารถเลือกคุณภาพของขลุ่ยและกำหนดคุณสมบัติตามลักษณะการใช้งานของขลุ่ยได้ตามต้องการ เช่น ต้องการขลุ่ยที่มีเสียงหวาน เสียงดังกังวานสดใส หรือ เสียงทุ้มนุ่มนวลเป็นพิเศษ สำหรับไว้เล่นเดี่ยว เป่าคนเดียวต้องการเสียงเบา เล่นเข้าวง เล่นกับดนตรีไทย เล่นกับดนตรีสากล เล่นในที่มีอากาศเย็น ต้องการใช้ลมมาก-ลมน้อย เป็นต้น
การเลือกเป่าขลุ่ยคีย์ต่างๆ
 ขลุ่ยเทียบเสียงสากลมี 12 คีย์ ตามคีย์ของเปียโน แต่ใช้แค่ 2 คีย์ คือ คีย์ C และ Bแฟลต ก็ครอบคุมแล้ว
               คีย์ C เหมาะกับเพลงสากล เพลงพระราชนิพนธ์ เป็นต้น
                คีย์ Bb เหมาะกับเพลงลูกทุ่งลูกกรุง

 คีย์เพลง คือ บันไดเสียงของเพลง
คีย์ของขลุ่ย คือ ระบบเสียงของขลุ่ยแต่ละชนิด เช่นขลุ่ยคีย์C , ขลุ่ยคีย์ Bb

               เมื่อเราเป่าขลุ่ยคนเดียวก็แทบไม่ต้องสนใจอะไรมากนักเพียงแค่สนใจเรื่องให้โน้ตอยู่ในช่วงที่ขลุ่ยเป่าได้และตัวโน้ตไม่ติดชาร์ปหรือแฟล็ตมากเท่านั้นเอง อีกอย่างที่สำคัญก็แค่เป่าออกมาให้ฟังเป็นเพลงที่ต้องการ แต่ถ้าต้องการนำขลุ่ยไปเป่าตามเพลงที่นักร้องร้องหรือกับBacking Trackหรือร่วมวงกับเครื่องดนตรีอื่นๆ สิ่งสำคัญต้องรู้ว่าเสียงที่ออกจากขลุ่ยอยู่ในคีย์ที่ตรงกับเสียงของเครื่องดนตรีอื่นไหม ถ้าไม่ตรงต้องปรับอย่างไร

หลักการเป่าขลุ่ยคีย์ใดๆก็ให้ไล่โน้ตเหมือนกับเป่าขลุ่ยคีย์C คือถ้าเปิดทุกรูก็ให้เป็นโน้ตตัวโด เปิด1รูล่างเป็นตัวเร เป็นต้น วิธีนี้จะง่ายในการจดจำโน้ตคือเราจำโน้ตเพลงรูปแบบเดียว เราก็ไปเป่ากับขลุ่ยได้ทุกคีย์ เพียงแต่เสียงออกมาก็จะเปลี่ยนไปตามคีย์ของขลุ่ยเท่านั้นเอง

ขลุ่ยคีย์Cกับขลุ่ยคีย์Bbเป็นคีย์ที่มีขายในท้องตลาด ส่วนคีย์อื่นๆจะหายากหรือต้องสั่งทำพิเศษ
ขลุ่ยคีย์Cเป็นขลุ่ยคีย์มาตรฐานที่ควรจะมีไว้สำหรับท่านที่เป่าขลุ่ยเพลงสากล
 โน้ตเพลงที่เป็นคีย์C เมื่อใช้ขลุ่ยคีย์อะไรเป่าก็จะเสียงที่เป่าออกมาเป็นคีย์ตามคีย์ของขลุ่ยนั้น
               เมื่อใช้ขลุ่ยคีย์หนึ่งเป่าโน้ตเพลงคีย์หนึ่ง เมื่อเปลี่ยนเป็นขลุ่ยคีย์ใหม่ เสียงที่ออกมาจะได้คีย์ที่เปลี่ยนไปเท่ากับระยะห่างของคีย์ขลุ่ยทั้ง2นั้น
                 ถ้าต้องการเป่าเพลงเดิมในคีย์สูงหรือต่ำลง ทำได้ 2 วิธี คือ เปลี่ยนขลุ่ยคีย์ใหม่เลยหรือแปลงโน้ตเพลงเป็นคีย์ให้สูงขึ้นหรือต่ำลง
                แต่การเปลี่ยนคีย์เพลงอาจติดชาร์ปหรือแฟล็ตเพิ่มมาอีกทำให้วางนิ้วเป่าได้ลำบากขึ้นส่วนการมีขลุ่ยหลายคีย์จะทำได้ง่าย แต่ก็ต้องพกพาขลุ่ยหลายอัน

                ถ้ามีขลุ่ยอยู่เลาเดียว ต้องการเล่นเป่าเป็น2คีย์ก็สามารถทำได้ โดยทำโน้ตเพลงออกเป็น2ชุด ชุดแรกคือโน้ตเดิมและชุดที่2ทำการแปลงโน้ตเพลงที่มีอยู่เดิมเป็นคีย์ใหม่ให้สูงขึ้นอีก2ขั้นครึ่งเสียง เช่น ถ้าเรารู้ว่าโน้ตเพลงนั้นเป็นโน้ตเพลงคีย์C ก็แปลงให้เป็นคีย์Dได้ดังนี้ (ตามตารางโน้ตและคีย์ข้างบน)
คีย์C->คีย์D
ด ->
ร ->
ม -> #
ฟ ->
ซ ->
ล ->
ท -> #
 
                ขลุ่ย 2 ท่อนปรับเสียงไม่ ไม่ได้หมายความว่าสามารถปรับเสียงจากขลุ่ยตีย์หนึ่งไปเป็นขลุ่ยอีกคีย์หนึงได้ เป็นเพียงปรับเสียงขลุ่ยของเราให้เล่นเข้ากับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆในวงได้ คือปรับให้ต่ำลงได้ประมาณ 10-20 % เท่านั้น เพราะโดยธรรมชาติของขลุ่ยไม้เมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่ง เสียงจะเพี้ยนสูงขึ้นไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเป็นขลุ่ย 2 ท่อนก็สามารถปรับไสลด์จูนโดยดึงออกมา เสียงก็จะต่ำลงปรับให้เข้ากับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ ก็แค่นั้นเองนะครับ แต่จะปรับถึงขนาดเปลี่ยนคีย์ของขลุ่ยได้นั้นทำไม่ได้หรอกครับ ถ้าเป็นขลุ่ยท่อนเดียวเมื่ออยู่ไปนานเข้าเสียงเพี้ยนสูงขึ้นก็ต้องส่งให้ช่างขลุ่ยปรับเสียงใหม่ครับ ยิ่งใครมีขลุ่ยมากเลารับรองได้ว่าปวดหัวเลยครับ ถ้าใครมีจูนเนอร์อยู่ลองtestเสียงดูได้เลยว่ามันเพี้ยนสูงขึ้นเสมอเมื่ออยู่นานเข้า ต้นเหตุคือการ เซทตัวของไม้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงพยายามเรียนรู้การปรับจูนขลุ่ยให้ได้ด้วยตัวเอง ถ้าเป็นขลุ่ยเสียงไทยถึงแม้เสียงไม่เพี้ยนหรือเพี้ยนไม่มากแต่ก็จะมีผลให้เสียงควงเพี้ยนไม่ลงตัวได้

การเลือกขลุ่ย

                     
                                            ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
                การเลือกซื้อขลุ่ยนั้น ผู้ซื้อควรจะมาทดสอบเป่าขลุ่ยเอง เพราะขลุ่ยแต่ละเลานั้นทำด้วยมือดังนั้น อาจจะมีขลุ่ยที่ผู้เป่าชื่นชอบเพราะได้มาทดสอบด้วยตนเอง ส่วนขลุ่ยที่สามารถเป่าเข้าได้กับทุกเพลงนั้น ถ้าเป็นขลุ่ยสากลส่วนใหญ่เสียงจะเข้าได้กับทุกเพลงอยู่แล้วขึ้นอยู่กับผู้เป่าที่สามารถไล่เสียงตามสเกลเสียงได้อย่างคล่องแคล่วสำหรับท่านที่เริ่มหัด ยังไม่ต้องหาขลุ่ย ราคาแพง ๆ เลย ให้ใช้ขลุ่ย ท่อ พีวีซี ที่ขายกันทั่วไป มาฝึกฝนก่อน เมื่อคุ้นเคยกับการใช้ลม การใช้นิ้ว การบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในการเป่าขลุ่ย ทำเป็นสักระยะหนึ่งแล้ว จึงค่อยไปเลือกซื้อขลุ่ย ก็ได้ จะทำให้ได้ขลุ่ย ที่ดีที่เหมาะกันตนเอง เพราะ ขลุ่ยแต่ละช่าง แต่ละเลา มีความเหมาะสม กับแต่ละคนนะครับ บางคนชอบลมหนัก บางคนชอบลมเบา มีรายละเอียดมากมาย

ขลุ่ยที่ดีควรพิจารณาสิ่งอื่นๆประกอบดังนี้

          1.เสียง ขลุ่ยที่ใช้ได้ดีเสียงต้องไม่เพี้ยนตั้งแต่เสียงต่ำสุดไปจนถึงเสียงสูงสุด คือทุกเสียงต้องห่างกันหนึ่งเสียงตามระบบของเสียงไทย เสียงคู่แปดจะต้องเท่ากันหรือเสียงเลียนเสียงจะต้องเท่ากัน หรือนิ้วควงจะต้องตรงกัน เสียงแท้เสียงต้องโปร่งใสมีแก้วเสียงไม่แหนพร่าหรือแตก ถ้านำไปเล่นกับเครื่องดนตรีที่มีเสียงตายตัว เช่น ระนาดหรือฆ้องวงจะต้องเลือกขลุ่ยที่มีระดับเสียงเข้ากับเครื่องดนตรีเหล่านั้น
               2.ลม ขลุ่ยที่ดีต้องกินลมน้อยไม่หนักแรงเวลาเป่าซึ่งสามารถระบายลมได้ง่าย
       3.ลักษณะของไม้ที่นำมาทำ จะต้องเป็นไม้ที่แก่จัดหรือแห้งสนิท โดยสังเกตจากเสี้ยนของไม้ควรเป็นเสี้ยนละเอียดที่มีสีน้ำตาลแก่ค่อนข้างดำ ตาไม้เล็กๆเนื้อไม่หนาหรือบางจนเกินไป คือต้องเหมาะสมกับประเภทของขลุ่ยว่าเป็นขลุ่ยอะไร ในกรณีที่เป็นไม้ไผ่ถ้าไม้ไม่แก่จัดหรือไม่แห้งสนิท เมื่อนำมาทำเป็นขลุ่ยแล้วต่อไปอาจแตกร้าวได้ง่าย เสียงจะเปลี่ยนไป และมอดจะกินได้ง่าย
       4.ดาก ควรทำจากไม้สักทอง เพราะไม่มีขุยหรือขนแมวขวางทางลม การใส่ดากต้องไม่ชิดหรือห่างขอบไม้ไผ่จนเกินไปเพราะถ้าชิดจะทำให้เสียงทึบ ตื้อ ถ้าใส่ห่างจะทำให้เสียงโว่งกินลมมาก
        5.รูต่างๆบนเลาขลุ่ย จะต้องเจาะอย่างประณีตขนาดความกว้างของรูต้องเหมาะกับขนาดของไม้ไผ่ไม่กว้างเกินไป
          ขลุ่ยในสมัยก่อนรูต่างๆ ที่นิ้วปิดจะต้องกว้านด้านในให้เว้า คือผิวด้านในรูจะกว้างกว่าผิวด้านนอก แต่ปัจจุบันไม่ได้กว้านภายในรูเหมือนแต่ก่อนแล้ว ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากคนทำขลุ่ย ต้องผลิตขลุ่ยคราวละมากๆ ทำให้ละเลยในส่วนนี้ไป
         6.ควรเลือกขลุ่ยที่มีขนาดพอเหมาะกับนิ้วของผู้เป่า กล่าวคือ ถ้าผู้เป่ามีนิ้วมือเล็กหรือบอบบางก็ควรเลือกใช้ขลุ่ยเลาเล็ก ถ้าผู้เป่ามีมืออวบอ้วน ก็ควรเลือกใช้ขลุ่ยขนาดใหญ่พอเหมาะ
         7.ลักษณะประกอบอื่นๆ เช่น สีผิวของไม้สวยงาม ไม่มีตำหนิ ขีดข่วน เทลายได้สวยละเอียด แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบกับเสียงขลุ่ยแต่อย่างใด เพียงพิจารณาเพื่อเลือกให้ได้ขลุ่ยที่ถูกใจเท่านั้น
        8.ทดลองเป่าได้ โดยให้ปิดรูหมดทุกรู แล้วทดลองเป่าเบา ๆ จนออกมาเป็นเสียง โดต่ำ ที่ไม่ออกเสียงหวีด หรือ เสียงสูง พุดง่ายคือเป่าเสียง โดต่ำ ได้ง่ายดีหรือไม่ เพราะ ระดับเสียงสูงเป่าได้ง่ายกว่าเสียงต่ำ จากนั้นก็พิจารณาดูความละเอียดในการทำว่า ละเอียดดีหรือไม่ ที่สำคัญที่สุด คือ ตรงปากเป่าที่ ดากที่เป็นตัวประกอบให้ดูว่าสนิทกันดีหรือไม่   จากนั้นก็ลองชั่งน้ำหนักดูว่าหนักไหม ควรเลือกตัวทีมีน้ำหนักมากกว่า เพราะแสดงให้เห็นว่าใช้วัสดุที่ดีกว่า มีความหนาแน่นมากกว่า

    ลิงก์เพจ facebook

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น