ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
ขลุ่ย
เป็นเครื่องดนตรีโบราณของไทยชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดขึ้นก่อนหรือในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
ร่วมสมัยกับเครื่องดนตรีประเภท กลอง ฆ้อง กรับ พิณเพียะ แคน ขลุ่ย ปี่ ซอ
และกระจับปี่ แต่มีหลักฐานชัดเจนปรากฏ ในกฎมนเฑียรบาลสมัยพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) แห่งกรุงศรีอยุธยาว่าห้ามร้องเพลงหรือเป่าขลุ่ย
เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้
ตีตะโพนในเขตพระราชฐานก่อนที่จะมาเป็นขลุ่ยอย่างที่ปรากฏรูปร่างในปัจจุบัน
ขลุ่ยได้ผ่านการวิวัฒนาการมาเป็นระยะเวลายาวนาน
มาจากปี่อ้อซึ่งตัวปี่หรือเลาทำจากไม้รวกท่อนเดียวไม่มีข้อ
และมีลิ้นซึ่งทำด้วยไม้อ้อลำเล็กสำหรับเป่าให้เกิดเสียง
หลังจากนั้นจึงปรับเปลี่ยนรูปร่าง
และวิธีเป่าจนกลายมาเป็นขลุ่ยอย่างที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่าเป็นขลุ่ยเพียงออ
ประเภทของขลุ่ย
คนไทยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางศิลปะ
จะเห็นได้ว่างานหัตถกรรมของไทยงดงามไม่แพ้ของชนชาติใดในโลก
ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมจึงทำให้เรามีมรดกทางด้านศิลปวัฒนธรรมอยู่เป็นจำนวนมาก
ขลุ่ยก็เช่นเดียวกัน นอกจากขลุ่ยเพียงออ
ซึ่งสืบทอดคุณลักษณะและรูปร่างมาแต่โบราณแล้ว ต่อมาบรรพบุรุษของเรายังได้คิดค้น
"ขลุ่ยหลีบ" ไว้สำหรับเล่นคู่กับขลุ่ยเพียงออ "ขลุ่ยอู้"
ซึ่งคิดค้นขึ้นในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อใช้ประกอบการละเล่นละครดึกดำบรรพ์ นอกจากนั้น
ก็ยังมีขลุ่ยที่เรียกชื่ออย่างอื่นอีก เช่น ขลุ่ยกรวด ขลุ่ยเคียงออ ขลุ่ยรองออ
ขลุ่ยออร์แกน เพื่อให้เหมาะกับการที่จะไปเล่นผสมกับวงดนตรีประเภทต่างๆ
ปัจจุบันขลุ่ยที่ยังมีผู้นิยมเล่นมากที่สุด มี 3 ประเภท คือ
ขลุ่ยเพียงออ
ขลุ่ยหลีบ
ขลุ่ยอู้
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
เป็นเครื่องดนตรีไทย
ประเภทเครื่องเป่าชนิดไม่มีลิ้น ทำจากไม้รวกปล้องยาวๆ ด้านหน้าเจาะรูเรียงกัน
สำหรับปิดเปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง ตรงที่เป่าไม่มีลิ้นแต่มีดาก
ซึ่งทำด้วยไม้อุดเหลาเป็นท่อนกลมๆยาวประมาณ 2 นิ้ว สอดลงไปอุดที่ปากของขลุ่ย
แล้วบากด้านหนึ่งของดากเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เราเรียกว่า ปากนกแก้ว
เพื่อให้ลมส่วนหนึ่งผ่านเข้าออกทำให้เกิดเสียงขลุ่ยลมอีกส่วนจะวิ่งเข้าไปปลายขลุ่ยประกอบกับนิ้วที่ปิดเปิดบังคับเสียงเกิดเป็นเสียงสูงต่ำตามต้องการใตปากนกแก้วลงมาเจาะ
1 รู เรียกว่า
รูนิ้วค้ำ เวลาเป่าต้องใช้หัวแม่มือค้ำปิดเปิดที่รูนี้
บางเลาด้านขวาเจาะเป็นรูเยื่อ ปลายเลาขลุ่ยมีรู 4 รู เจาะตรงกันข้ามแต่เหลื่อมกันเล็กน้อย
ใช้สำหรับร้อยเชือกแขวนเก็บหรือคล้องมือจึงเรียกว่า รูร้อยเชือก
รวมขลุ่ยเลาหนึ่งมี 14 รูด้วยกัน
รูปร่างของขลุ่ยเมือพิจารณาแล้วจะเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่ง
จากหลักฐานที่พบขลุ่ยในหีบศพภรรยาเจ้าเมืองไทยที่ริมฝั่งแม่น้ำฮวงโหซึ่งมีหลักฐานจารึกศักราชไว้ไม่ต่ำกว่า
2,000 ปี
ปัจจุบันขลุ่ยมีราคาสูง
เนื่องจากไม้รวกชนิดที่ทำขลุ่ยมีน้อยลงและใช้เวลาทำมากจึงใช้วัตถุอื่นมาเจาะรูซึ่งรวดเร็วกว่า
เช่น ไม้เนื้อแข็ง ไม้ไผ่ ไม้ชิงชัน ไม้พยุง
บางครั้งอาจทำจากท่อพลาสติกแต่คุณภาพเสียงไม่ดีเท่าขลุ่ยไม้
ขลุ่ยที่มีเสียงไพเราะมากส่วนใหญ่จะเป็นขลุ่ยผิวไม้แห้งสนิทขลุ่ยใช้เป่าในวงเครื่องสายไทย
วงมโหรี และในวงปี่พาทย์ไม้นวม วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
การเทียบเสียงขลุ่ยเพียงออกับระดับเสียงดนตรีสากล เสียงโดของขลุ่ยเพียงออ
เทียบได้เท่ากับ เสียง ทีแฟล็ต ในระดับเสียงทางสากล
ปัจจุบันได้มีการทำขลุ่ยเพียงออที่มีระดับเสียงเท่ากับระดับเสียงสากล
เรียกว่าขลุ่ยเพียงออ ออร์แกนบ้าง หรือขลุ่ยกรวดบ้าง
แต่ในทางดนตรีสากลจะเรียกเป็นขลุ่ยไทยหมด จะเอาระดับเสียงมาเป็นตัวแยกขนาดเช่น
ขลุ่ยคีย์ C, ขลุ่ยคีย์ D, ขลุ่ยคีย์Bb, ขลุ่ยคีย์ G เป็นต้น
เป็นขลุ่ยที่มีขนาดปานกลาง ความยาวประมาณ 16 นิ้วระดับเสียงกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป
เป็นขลุ่ยที่มีผู้นิยมเล่นมากที่สุด
นอกจากจะเป่าเพื่อความบันเทิงและความรื่นรมย์เฉพาะตัวแล้ว ขลุ่ยเพียงออยังเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตาม
(เช่นเดียวกับระนาดทุ้ม และ ซออู้) ตามประเพณีนิยมในวงเครื่องสาย และ วงมโหรี
ขลุ่ยหลีบ
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
จัดเป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาขลุ่ยไทยทั้งหมด
มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร มีเสียงสูง ใช้ในการบรรเลงในวงมโหรีเครื่องคู่ เครื่องใหญ่
และวงเครื่องสายเครื่องคู่ โดยเป็นเครื่องนำในวงเช่นเดียวกับระนาด หรือซอด้วง
นอกจากนี้ยังใช้บรรเลงในวงเครื่องสายปี่ชวา โดยบรรเลงเป็นพวกหลังเช่นเดียวกับซออู้
เป็นขลุ่ยที่มีขนาดเล็กที่สุด ความยาวประมาณ 12 นิ้ว เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องนำ
(เช่นเดียวกับระนาดเอก และ ซอด้วง) ในวงมโหรีและวงเครื่องสายเครื่องคู่
และใช้เป็นเครื่อง ตามในวงเครื่องสายปี่ชวาเมื่อปิดนิ้วหมดทุกนิ้ว
เป่าแล้วจะได้เสียง "ฟา" สูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 4 เสียง
ขลุ่ยอู้
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
เป็นขลุ่ยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ความยาวประมาณ 23 นิ้ว มีระดับเสียงต่ำสุดและเป็นขลุ่ยที่มีเสียงต่ำที่สุดคือต่ำกว่าเสียงโดต่ำของขลุ่ยเพียงออ
2-3 เสียง
และมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากขลุ่ยเพียงออ และขลุ่ยหลีบ คือมีรูที่ทำให้เกิดเสียง 6 รู
เมื่อปิดนิ้วทุกนิ้ว เป่าแล้วจะได้เสียง "ซอล" ต่ำกว่าขลุ่ยเพียงออ 3 เสียงนิยมใช้ในวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
ขลุ่ยคีย์ต่างๆ
ขลุ่ยไทยโดยทั่วไปจะมีระดับเสียงของดนตรีไทย
แบ่งเป็น 2 ระดับเสียง ได้แก่เสียงกรมศิลปากร และ เสียงกรมประชาสัมพันธ์
มีรายละเอียดดังนี้
1.)
เสียงกรมศิลปากร เสียงโดของไทย จะต่ำกว่าเสียง Bb ของเสียงสากล
2.)
เสียงกรมประชาสัมพันธ์ เสียงโดของไทยจะตรงกับเสียง Bb ของเสียงสากล
ขลุ่ยไทยเทียบเสียงสากล
เป็นขลุ่ยที่ใช้โครงสร้างของขลุ่ยไทยทั้งหมดแต่ปรับระบบเสียงให้เท่ากับระบบเสียงของดนตรีสากล ซึ่งยังคงใช้เทคนิคในการเป่าขลุ่ยไทยแบบต่าง ๆ
ได้ครบ และทำให้ยังคงคุณสมบัติของขลุ่ยไทยไว้ได้อย่างสมบูรณ์
และสามารถนำไปเล่นกับเครื่องดนตรีสากลได้อย่างกลมกลืน
ขลุ่ยชนิดต่าง
ๆให้ เสียง ดังนี้
1. ขลุ่ยลิบ
ให้เสียงแหลมใสมีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาฯ / Eb และ D
2. ขลุ่ยกรวด
ให้เสียงสูงกว่าเพียงออ 1 เสียง
มีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาฯ และ C
3. ขลุ่ยเพียงออ ให้เสียงกลาง ๆ
มีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาฯ และ Bb
4. ขลุ่ยซุปเปอร์เพียงออ หรือ “เพียงออทุ้ม” ให้เสียงดังกังวานและทุ้มเป็นพิเศษกว่าขลุ่ยเพียงออปกติสองเท่า
แต่ใช้ลมในการเป่ามากขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย
จึงสามารถเล่นในวงมโหรีเครื่องใหญ่ที่มีเสียงดังมากได้เป็นอย่างดี มีระดับเสียงกรมศิลป์
และกรมประชาสัมพันธ์ โดยใช้แนวเสียงดนตรีของพระยาเสนาะดุริยางค์(แช่ม สุนทรวาทิน)
ที่มีลักษณะเด่น
ดังนี้ คือ
1)
คู่เสียงสนิทตรงกันทุกคู่เสียงเริ่มตั้งแต่คู่สอง เป็นต้นไป
2)
เสียงของเครื่องดนตรี จะดังกังวานสดใสได้ยินเสมอกันทุกระยะไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล
5. ขลุ่ยอู้ ให้เสียงทุ้มต่ำมีระดับเสียงกรมศิลป์/กรมประชาสัมพันธ์ / E
b / F และ G
การสั่งทำขลุ่ยสามารถเลือกคุณภาพของขลุ่ยและกำหนดคุณสมบัติตามลักษณะการใช้งานของขลุ่ยได้ตามต้องการ
เช่น ต้องการขลุ่ยที่มีเสียงหวาน เสียงดังกังวานสดใส หรือ
เสียงทุ้มนุ่มนวลเป็นพิเศษ สำหรับไว้เล่นเดี่ยว เป่าคนเดียวต้องการเสียงเบา
เล่นเข้าวง เล่นกับดนตรีไทย เล่นกับดนตรีสากล เล่นในที่มีอากาศเย็น
ต้องการใช้ลมมาก-ลมน้อย เป็นต้น
การเลือกเป่าขลุ่ยคีย์ต่างๆ
ขลุ่ยเทียบเสียงสากลมี 12 คีย์ ตามคีย์ของเปียโน แต่ใช้แค่ 2 คีย์ คือ คีย์ C
และ Bแฟลต ก็ครอบคุมแล้ว
คีย์
C เหมาะกับเพลงสากล เพลงพระราชนิพนธ์ เป็นต้น
คีย์
Bb เหมาะกับเพลงลูกทุ่งลูกกรุง
คีย์เพลง คือ บันไดเสียงของเพลง
คีย์ของขลุ่ย
คือ ระบบเสียงของขลุ่ยแต่ละชนิด เช่นขลุ่ยคีย์C , ขลุ่ยคีย์ Bb
เมื่อเราเป่าขลุ่ยคนเดียวก็แทบไม่ต้องสนใจอะไรมากนักเพียงแค่สนใจเรื่องให้โน้ตอยู่ในช่วงที่ขลุ่ยเป่าได้และตัวโน้ตไม่ติดชาร์ปหรือแฟล็ตมากเท่านั้นเอง
อีกอย่างที่สำคัญก็แค่เป่าออกมาให้ฟังเป็นเพลงที่ต้องการ แต่ถ้าต้องการนำขลุ่ยไปเป่าตามเพลงที่นักร้องร้องหรือกับBacking
Trackหรือร่วมวงกับเครื่องดนตรีอื่นๆ
สิ่งสำคัญต้องรู้ว่าเสียงที่ออกจากขลุ่ยอยู่ในคีย์ที่ตรงกับเสียงของเครื่องดนตรีอื่นไหม
ถ้าไม่ตรงต้องปรับอย่างไร
หลักการเป่าขลุ่ยคีย์ใดๆก็ให้ไล่โน้ตเหมือนกับเป่าขลุ่ยคีย์C คือถ้าเปิดทุกรูก็ให้เป็นโน้ตตัวโด
เปิด1รูล่างเป็นตัวเร เป็นต้น
วิธีนี้จะง่ายในการจดจำโน้ตคือเราจำโน้ตเพลงรูปแบบเดียว
เราก็ไปเป่ากับขลุ่ยได้ทุกคีย์
เพียงแต่เสียงออกมาก็จะเปลี่ยนไปตามคีย์ของขลุ่ยเท่านั้นเอง
ขลุ่ยคีย์Cกับขลุ่ยคีย์Bbเป็นคีย์ที่มีขายในท้องตลาด ส่วนคีย์อื่นๆจะหายากหรือต้องสั่งทำพิเศษ
ขลุ่ยคีย์Cเป็นขลุ่ยคีย์มาตรฐานที่ควรจะมีไว้สำหรับท่านที่เป่าขลุ่ยเพลงสากล
โน้ตเพลงที่เป็นคีย์C เมื่อใช้ขลุ่ยคีย์อะไรเป่าก็จะเสียงที่เป่าออกมาเป็นคีย์ตามคีย์ของขลุ่ยนั้น
เมื่อใช้ขลุ่ยคีย์หนึ่งเป่าโน้ตเพลงคีย์หนึ่ง
เมื่อเปลี่ยนเป็นขลุ่ยคีย์ใหม่
เสียงที่ออกมาจะได้คีย์ที่เปลี่ยนไปเท่ากับระยะห่างของคีย์ขลุ่ยทั้ง2นั้น
ถ้าต้องการเป่าเพลงเดิมในคีย์สูงหรือต่ำลง
ทำได้ 2 วิธี คือ
เปลี่ยนขลุ่ยคีย์ใหม่เลยหรือแปลงโน้ตเพลงเป็นคีย์ให้สูงขึ้นหรือต่ำลง
แต่การเปลี่ยนคีย์เพลงอาจติดชาร์ปหรือแฟล็ตเพิ่มมาอีกทำให้วางนิ้วเป่าได้ลำบากขึ้นส่วนการมีขลุ่ยหลายคีย์จะทำได้ง่าย
แต่ก็ต้องพกพาขลุ่ยหลายอัน
ถ้ามีขลุ่ยอยู่เลาเดียว
ต้องการเล่นเป่าเป็น2คีย์ก็สามารถทำได้ โดยทำโน้ตเพลงออกเป็น2ชุด
ชุดแรกคือโน้ตเดิมและชุดที่2ทำการแปลงโน้ตเพลงที่มีอยู่เดิมเป็นคีย์ใหม่ให้สูงขึ้นอีก2ขั้นครึ่งเสียง เช่น ถ้าเรารู้ว่าโน้ตเพลงนั้นเป็นโน้ตเพลงคีย์C ก็แปลงให้เป็นคีย์Dได้ดังนี้
(ตามตารางโน้ตและคีย์ข้างบน)
คีย์C->คีย์D
ด
-> ร
ร
-> ม
ม
-> ฟ#
ฟ
-> ซ
ซ
-> ล
ล
-> ท
ท
-> ด#
ขลุ่ย
2 ท่อนปรับเสียงไม่
ไม่ได้หมายความว่าสามารถปรับเสียงจากขลุ่ยตีย์หนึ่งไปเป็นขลุ่ยอีกคีย์หนึงได้
เป็นเพียงปรับเสียงขลุ่ยของเราให้เล่นเข้ากับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆในวงได้
คือปรับให้ต่ำลงได้ประมาณ 10-20 % เท่านั้น
เพราะโดยธรรมชาติของขลุ่ยไม้เมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่ง
เสียงจะเพี้ยนสูงขึ้นไม่มากก็น้อย แต่ถ้าเป็นขลุ่ย 2
ท่อนก็สามารถปรับไสลด์จูนโดยดึงออกมา
เสียงก็จะต่ำลงปรับให้เข้ากับเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆ ก็แค่นั้นเองนะครับ
แต่จะปรับถึงขนาดเปลี่ยนคีย์ของขลุ่ยได้นั้นทำไม่ได้หรอกครับ
ถ้าเป็นขลุ่ยท่อนเดียวเมื่ออยู่ไปนานเข้าเสียงเพี้ยนสูงขึ้นก็ต้องส่งให้ช่างขลุ่ยปรับเสียงใหม่ครับ
ยิ่งใครมีขลุ่ยมากเลารับรองได้ว่าปวดหัวเลยครับ ถ้าใครมีจูนเนอร์อยู่ลองtestเสียงดูได้เลยว่ามันเพี้ยนสูงขึ้นเสมอเมื่ออยู่นานเข้า ต้นเหตุคือการ
เซทตัวของไม้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงพยายามเรียนรู้การปรับจูนขลุ่ยให้ได้ด้วยตัวเอง
ถ้าเป็นขลุ่ยเสียงไทยถึงแม้เสียงไม่เพี้ยนหรือเพี้ยนไม่มากแต่ก็จะมีผลให้เสียงควงเพี้ยนไม่ลงตัวได้
การเลือกขลุ่ย
ที่มา : http://tkapp.tkpark.or.th/stocks/content
การเลือกซื้อขลุ่ยนั้น
ผู้ซื้อควรจะมาทดสอบเป่าขลุ่ยเอง เพราะขลุ่ยแต่ละเลานั้นทำด้วยมือดังนั้น อาจจะมีขลุ่ยที่ผู้เป่าชื่นชอบเพราะได้มาทดสอบด้วยตนเอง
ส่วนขลุ่ยที่สามารถเป่าเข้าได้กับทุกเพลงนั้น
ถ้าเป็นขลุ่ยสากลส่วนใหญ่เสียงจะเข้าได้กับทุกเพลงอยู่แล้วขึ้นอยู่กับผู้เป่าที่สามารถไล่เสียงตามสเกลเสียงได้อย่างคล่องแคล่วสำหรับท่านที่เริ่มหัด
ยังไม่ต้องหาขลุ่ย ราคาแพง ๆ เลย ให้ใช้ขลุ่ย ท่อ พีวีซี ที่ขายกันทั่วไป
มาฝึกฝนก่อน เมื่อคุ้นเคยกับการใช้ลม การใช้นิ้ว การบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ในการเป่าขลุ่ย ทำเป็นสักระยะหนึ่งแล้ว จึงค่อยไปเลือกซื้อขลุ่ย ก็ได้
จะทำให้ได้ขลุ่ย ที่ดีที่เหมาะกันตนเอง เพราะ ขลุ่ยแต่ละช่าง แต่ละเลา
มีความเหมาะสม กับแต่ละคนนะครับ บางคนชอบลมหนัก บางคนชอบลมเบา มีรายละเอียดมากมาย
ขลุ่ยที่ดีควรพิจารณาสิ่งอื่นๆประกอบดังนี้
1.เสียง
ขลุ่ยที่ใช้ได้ดีเสียงต้องไม่เพี้ยนตั้งแต่เสียงต่ำสุดไปจนถึงเสียงสูงสุด
คือทุกเสียงต้องห่างกันหนึ่งเสียงตามระบบของเสียงไทย
เสียงคู่แปดจะต้องเท่ากันหรือเสียงเลียนเสียงจะต้องเท่ากัน
หรือนิ้วควงจะต้องตรงกัน เสียงแท้เสียงต้องโปร่งใสมีแก้วเสียงไม่แหนพร่าหรือแตก
ถ้านำไปเล่นกับเครื่องดนตรีที่มีเสียงตายตัว เช่น
ระนาดหรือฆ้องวงจะต้องเลือกขลุ่ยที่มีระดับเสียงเข้ากับเครื่องดนตรีเหล่านั้น
2.ลม
ขลุ่ยที่ดีต้องกินลมน้อยไม่หนักแรงเวลาเป่าซึ่งสามารถระบายลมได้ง่าย
3.ลักษณะของไม้ที่นำมาทำ
จะต้องเป็นไม้ที่แก่จัดหรือแห้งสนิท
โดยสังเกตจากเสี้ยนของไม้ควรเป็นเสี้ยนละเอียดที่มีสีน้ำตาลแก่ค่อนข้างดำ ตาไม้เล็กๆเนื้อไม่หนาหรือบางจนเกินไป
คือต้องเหมาะสมกับประเภทของขลุ่ยว่าเป็นขลุ่ยอะไร
ในกรณีที่เป็นไม้ไผ่ถ้าไม้ไม่แก่จัดหรือไม่แห้งสนิท
เมื่อนำมาทำเป็นขลุ่ยแล้วต่อไปอาจแตกร้าวได้ง่าย เสียงจะเปลี่ยนไป
และมอดจะกินได้ง่าย
4.ดาก ควรทำจากไม้สักทอง
เพราะไม่มีขุยหรือขนแมวขวางทางลม
การใส่ดากต้องไม่ชิดหรือห่างขอบไม้ไผ่จนเกินไปเพราะถ้าชิดจะทำให้เสียงทึบ ตื้อ
ถ้าใส่ห่างจะทำให้เสียงโว่งกินลมมาก
5.รูต่างๆบนเลาขลุ่ย
จะต้องเจาะอย่างประณีตขนาดความกว้างของรูต้องเหมาะกับขนาดของไม้ไผ่ไม่กว้างเกินไป
ขลุ่ยในสมัยก่อนรูต่างๆ
ที่นิ้วปิดจะต้องกว้านด้านในให้เว้า คือผิวด้านในรูจะกว้างกว่าผิวด้านนอก
แต่ปัจจุบันไม่ได้กว้านภายในรูเหมือนแต่ก่อนแล้ว ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากคนทำขลุ่ย
ต้องผลิตขลุ่ยคราวละมากๆ ทำให้ละเลยในส่วนนี้ไป
6.ควรเลือกขลุ่ยที่มีขนาดพอเหมาะกับนิ้วของผู้เป่า
กล่าวคือ ถ้าผู้เป่ามีนิ้วมือเล็กหรือบอบบางก็ควรเลือกใช้ขลุ่ยเลาเล็ก
ถ้าผู้เป่ามีมืออวบอ้วน ก็ควรเลือกใช้ขลุ่ยขนาดใหญ่พอเหมาะ
7.ลักษณะประกอบอื่นๆ
เช่น สีผิวของไม้สวยงาม ไม่มีตำหนิ ขีดข่วน เทลายได้สวยละเอียด
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบกับเสียงขลุ่ยแต่อย่างใด
เพียงพิจารณาเพื่อเลือกให้ได้ขลุ่ยที่ถูกใจเท่านั้น
8.ทดลองเป่าได้ โดยให้ปิดรูหมดทุกรู แล้วทดลองเป่าเบา ๆ จนออกมาเป็นเสียง “โด” ต่ำ ที่ไม่ออกเสียงหวีด หรือ เสียงสูง
พุดง่ายคือเป่าเสียง “โด” ต่ำ
ได้ง่ายดีหรือไม่ เพราะ ระดับเสียงสูงเป่าได้ง่ายกว่าเสียงต่ำ
จากนั้นก็พิจารณาดูความละเอียดในการทำว่า ละเอียดดีหรือไม่ ที่สำคัญที่สุด คือ
ตรงปากเป่าที่ “ดาก” ที่เป็นตัวประกอบให้ดูว่าสนิทกันดีหรือไม่ จากนั้นก็ลองชั่งน้ำหนักดูว่าหนักไหม
ควรเลือกตัวทีมีน้ำหนักมากกว่า เพราะแสดงให้เห็นว่าใช้วัสดุที่ดีกว่า
มีความหนาแน่นมากกว่า
ลิงก์เพจ facebook